จุดเริ่มต้นของ "กรมไปรษณีย์" เส้นทางสู่
"บริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด"
การขนส่งจดหมายเป็นภารกิจหลักของกรมไปรษณีย์ไทยมาแต่ดั้งเดิม ในปี พ.ศ. 2423 เจ้าหมื่นเสมอใจราชได้กราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ให้ทรงจัดตั้งการไปรษณีย์ขึ้นในประเทศสยาม พระองค์จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษี สว่างวงศ์ฯ
ทรงเตรียมการจัดตั้งการไปรษณีย์ตามแบบอย่างในต่างประเทศ
และทรงแต่งตั้งให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ ฯ
ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการกรมไปรษณีย์เป็นพระองค์แรก
และได้เปิดรับฝากส่งหนังสือ(จดหมาย)ในเขตพระนครและธนบุรีเป็นการทดลอง
จนในที่สุดการไปรษณีย์ได้ถือกำเนิดขึ้นเป็น “กรมไปรษณีย์”
อย่างเป็นทางการขึ้น ในวันที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖ (๔ สิงหาคม
จึงถือเป็น วันสื่อสารแห่งชาติ) โดยมีที่ทำการไปรสะนียาคารแห่งแรก
ที่ ปากคลองโอ่งอ่าง ตำบลราชบูรณะ และอาคารในพระราชอุทยานสราญรมย์
ถือเป็นจุดกำเนิดของกิจการไปรษณีย์ในประเทศไทย
ต่อมาดร. สเตฟัน (Stephan) ผู้สำเร็จราชการไปรษณีย์เยอรมัน ได้แสดงความเกื้อกูลกิจการไปรษณีย์ไทยก่อนชาติอื่น
เมื่อกรมไปรษณีย์ของไทยได้ก่อตั้งขึ้นมา ๒ ปีแล้ว
รัฐบาลเยอรมันีจึงได้ทำหนังสือเชิญชวนเข้าร่วมกับสหภาพสากลไปรษณีย์ (Universal
Postal Union) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นควรว่า
ไทยควรเข้าร่วมเป็นสมาชิกสหภาพสากลไปรษณีย์ด้วยทรงตระหนักถึงความสำคัญว่าเป็นโอกาสอันดีให้ประเทศไทย
ก้าวเข้าสู่เวทีระดับโลก
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าปฤษฏางค์ราชทูตไทยประจำกรุงปารีสในเวลานั้น
เป็นผู้ติดต่อประสานงาน และว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญการไปรษณีย์จากต่างประเทศเข้ามาช่วยปรับปรุงกิจการไปรษณีย์ไทยให้เป็นที่ยอมรับจากนานาประเทศ และในวันที่
๑ กรกฎาคม ๒๔๒๘ ประเทศไทยได้เข้าเป็นสมาชิก “สหภาพสากลไปรษณีย์” พร้อมกับ
กรมไปรษณีย์ได้เปิดที่ทำการแห่งที่สองขึ้นเพื่อให้บริการรับฝากและจำหน่ายไปรษณียภัณฑ์ต่างประเทศอย่างเป็นทางการ
ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรด้านกิจการไปรษณีย์ของไทย
ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องพิจารณาว่าจ้างชาวต่างชาติผู้มีความเชี่ยวชาญมาปฏิรูปกิจการไปรษณีย์
เช่นเดียวกับการปฏิรูปบ้านเมืองด้านอื่นๆ
ในครั้งแรกนั้นได้มีการพิจารณาจะว่าจ้างชาวฝรั่งเศสชื่อ เมอสิเออร์เบิดเทเลีย
แต่กรมหลวงภาณุพันธุวงศ์วรเดช
เกรงว่าจะเป็นการซ้ำยกกรมไปรษณีย์ของสยามให้แก่ฝรั่งเศสอีกชั้นหนึ่ง
และขณะเดียวกันในเวลานั้นฝรั่งเศสได้ขยายอาณานิคมมาประชิดดินแดนสยามในภาคตะวันออกเฉียงเหนือหากฝรั่งเศสเข้ามามีบทบาทในกิจการโทรคมนาคมไทย
ย่อมทำให้มีอิทธิพลในประเทศมากยิ่งขึ้น
ส่วนผู้เชี่ยวชาญจากอังกฤษนั้นได้เข้ามาปฏิบัติงานด้านไปรษณีย์ที่ฮ่องกงและสิงคโปร์อยู่ก่อน
แต่เนื่องจากว่าผู้สำเร็จราชการสิงคโปร์ และกงสุลอังกฤษประจำประเทศไทย
ได้แสดงทีท่าว่าต้องการให้กิจการไปรษณีย์ของไทยอยู่ภายใต้รัฐบาลอังกฤษ
ไทยจึงต้องไม่ว่าจ้างอังกฤษเช่นเดียวกับที่ปฏิเสธฝรั่งเศส
จากนั้นจึงได้มองที่เยอรมนี
ซึ่งเป็นผู้ที่แสดงให้เห็นความพร้อมเสมอมาในการต้องการช่วยเหลือเกื้อกูลกิจการไปรษณีย์ไทย
พระบาทสมเด็จพระจุลจอเกล้าเจ้าอยู่หัว และกรมหลวงภาณุพันธุวงศ์วรเดชเห็นพ้องกันว่า
ควรว่าจ้างผู้ชำนาญการซึ่งเป็นข้าราชการชาวเยอรมันมาฝึกสอนข้าราชการไทยรวมทั้งเป็นที่ปรึกษาด้านกิจการไปรษณีย์ด้วย
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงมีรับสั่งด่วนให้พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ติดว่าชาวเยอรมันในการดังกล่าว
และทรงมอบหมายให้พระองค์เจ้าปฤษฎางค์เป็นตัวแทนรัฐบาลไทยเข้าร่วมประชุมสหภาพสากลไปรษณีย์ในปี
๒๔๒๗ ณ กรุงเบอร์ลินด้วย ภายหลังพระวรวงศ์เธอ
พระองค์เจ้าปฤษฏางค์เสด็จกลับจากปารีสมาดำรงตำแหน่ง จางวางกรมไปรษณีย์ เมื่อวันที่
๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๔๒๙ กิจการไปรษณีย์ไทยจึงได้ก้าวหน้าขึ้นไปอีก
โดยเฉพาะการติดต่อสื่อสารระหว่างประเทศ
ในส่วนของกิจการโทรเลขภายใต้การดำเนินงานของกรมโทรเลขนั้น
ในระยะแรกนั้นทั้งอังกฤษ และฝรั่งเศส
ต่างยื่นข้อเสนอในการวางระบบโทรเลขให้ไทยเชื่อมต่อไปยังต่างประเทศ
แต่รัฐบาลอาจเป็นกังวลเกี่ยวกับการที่ประเทศมหาอำนาจล่าอาณานิคมทั้งสองจะสามารถติดต่อสื่อสารกับสายลับในและต่างประเทศไทยได้อย่างรวดเร็ว
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงยืนยันว่าไทยจะเป็นผู้วางระบบเอง
จากนั้นกิจการโทรเลขไทยก็ได้มีการพัฒนาให้เจริญก้าวหน้าเป็นลำดับ
ประเทศไทยก็ได้เข้าเป็นสมาชิก “สหภาพโทรเลขระหว่างประเทศ”(หรือสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศหรือ ITU ในปัจจุบัน)
จะเห็นได้ว่า กิจการไปรษณีย์
และกิจการโทรเลข นั้นคือ งานบริการประชาชนเพื่อติดต่อสื่อสาร ด้วยเหตุนี้ ในปี
พ.ศ. ๒๔๔๑ กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิธาดา เสนาบดีกระทรวงโยธาธิการ
จึงได้มีหนังสือกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้รวม กรมไปรษณีย์ และ กรมโทรเลข เป็นกรมเดียวกัน
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวมทั้งสองกรมไว้เป็นกรมเดียวกันชื่อว่า “กรมไปรษณีย์โทรเลข” ตั้งแต่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๔๑
เป็นต้นมา
ก่อนที่ภายหลังจะได้โอนกิจการโทรศัพท์กรุงเทพฯและธนบุรีให้องค์การโทรศัพท์แห่งประทศไทย
ในปี พ.ศ. 2520 ได้มีการจัดตั้ง การสื่อสารแห่งประทศไทย โดย พรบ.การสื่อสารแห่งประเทศไทย
พ.ศ.2519 เป็นรัฐวิสาหกิจ สังกัดกระทรวงคมนาคม
โดยรับมอบกิจการด้านปฏิบัติการและกิจการให้บริการไปรษณีย์จากกรมไปรษณีย์
โทรเลขมาดำเนินการ เปิดดำเนินการเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2520 และได้ปรับปรุงพัฒนาบริการมาตลอด
พ.ศ. 2542
รัฐบาลมีนโยบายแปรสภาพรัฐวิสาหกิจ
กิจการไปรษณีย์ถูกแยกออกจากการสื่อสารแห่งประเทศไทย และก่อตั้งเป็นบริษัท
ไปรษณีย์ไทย จำกัด เมื่อวันที่ 14 ส.ค.2546 มีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจ
สังกัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยปรับปรุงภาพลักษณ์องค์กรใหม่
พัฒนาคุณภาพบริการ และขยายขอบเขตการให้บริการในเชิงธุรกิจ
เพื่อให้สอดคล้องกับวิถีชีวิต และการเปลี่ยนแปลงในโลกปัจจุบัน
ภาพ ไปรสนียาคารจำลอง บริเวณสะพานพระปกเกล้า
Resource from :
"ไปรษณีย์ไทย:ปฏิวัติสำเร็จ "ใน http://www.brandage.com/Modules/DesktopModules/Article/ArticleDetail.aspx?tabID=2&ArticleID=1458&ModuleID=21&GroupID=474
"หน่วยงานโทรคมนาคมแรกแห่งสยามในรัชกาลที่
๕"ใน
http://www.torakom.com/article_index.php?sub=article_show&art=309
http://www.torakom.com/article_index.php?sub=article_show&art=309
“สมเด็จ วังบูรพา” บิดาการสื่อสารไทย
ใน
http://www.torakom.com/article_index.php?sub=article_show&art=304
http://www.torakom.com/article_index.php?sub=article_show&art=304
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น