Blogroll

วันพฤหัสบดีที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2556

กรุงเทพเมืองน่าเที่ยว แต่ไม่น่าอยู่

กรุงเทพเมืองน่าเที่ยว แต่ไม่น่าอยู่

โดย   วีรพงษ์ รามากูร


เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ผู้ว่าฯกรุงเทพ มหานครได้เดินทางไปรับรางวัลกรุงเทพฯเป็นเมืองที่น่าท่องเที่ยวที่สุดในโลก จากนิตยสาร Travel and Leisure ที่มหานครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา กรุงเทพมหานคร ได้รับรางวัล The World′s Best City Award 2013 ด้วยคะแนนสูงสุด 90.40 ตามมาด้วยเมืองอิสตันบูล ตุรกี 89.96 อันดับ 3 เมืองฟอเรนซ์ อิตาลี 69.84 อันดับ 4 เมืองเคปทาวน์ แอฟริกาใต้ 89.03 อันดับ 7 เมืองชาร์ลตัน เซาท์แคโรไลนา สหรัฐอเมริกา 88.65 อันดับ 8 เมืองบาร์เซโลนา สเปน 88.45 อันดับ 9 กรุงปารีส ฝรั่งเศส 88.35 และอันดับ 10 เมืองเชียงใหม่ ประเทศไทย ด้วยคะแนน 88.15

เป็นอันว่าเมืองที่น่าท่องเที่ยวมากที่สุดในโลก ประเทศไทยมีเมืองที่ติดอันดับสูงสุด 10 อันดับถึง 2 เมืองคือกรุงเทพมหานคร และนครเชียงใหม่

ผู้ว่าฯกรุงเทพมหานคร ได้แถลงว่าปี 2556 นี้ กรุงเทพมหานครได้รับรางวัลทางด้านการท่องเที่ยวหลายรางวัลคือ รางวัลเมืองท่องเที่ยวที่ดีที่สุดในโลกจากนิตยสาร Travel & Leisure รางวัลชนะเลิศสุดยอดจุดหมายปลายทางของโลกปลายปี 2556 รางวัล Traveller′s Choice Destination awards 2013 ของ มาสเตอร์การ์ด เวิลด์วายด์ "Master Card Worldwide" และรางวัลจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวเลือกปี 2013 จากเว็บไซต์ "Trip Advisor" ซึ่งเป็นเว็บไซต์การท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดของโลก ที่ให้ลงคะแนนเลือกหนึ่งใน 25 เมืองที่นักท่องเที่ยวต้องการเดินทางไปมากที่สุดในโลก

นอกจากจะเป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวได้ลงคะแนนให้เป็นเมืองที่น่าเที่ยว และน่าจะเป็นจุดหมายปลายทางที่ดีที่สุดในโลกแล้ว ถ้ามาดูกันเฉพาะในเอเชียด้วยกัน กรุงเทพมหานครก็ยังได้คะแนนเป็นเมืองน่าเที่ยวที่สุด ด้วยคะแนน 90.40 รองลงมาคือกรุงโตเกียว เชียงใหม่ เสียม ราฐ ฮ่องกง สิงคโปร์ นครเซี่ยงไฮ้ กรุงโซล และฮานอย ตามลำดับ

หลักเกณฑ์ที่พิจารณาให้คะแนนมีอยู่ทั้งหมด 6 ประการด้วยกันคือ 1.สถานที่ท่องเที่ยว ทัศนียภาพ ความสวยงามและความร่มรื่น 2.ศิลปวัฒนธรรมประเพณี 3.อาหารการกิน 4.แหล่งจับจ่ายใช้สอย 5.ความเป็นมิตรของผู้คน และ 6.ความคุ้มค่าของเงิน หรือความพึงพอใจที่ได้รับจากการจับจ่าย

เป็นที่น่ายินดีว่ากรุงเทพมหานครและนครเชียงใหม่ของเรา ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว ต้องถือว่าเป็นความสำเร็จของกรุงเทพมหานคร ที่มีนโยบายมุ่งส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยว ตามนโยบาย "กรุงเทพฯเมืองยิ้ม" หรือ "Bangkok Smile" และนโยบายหลักอื่นๆ อันได้แก่ วัฒนธรรมประเพณี อัธยาศัยไมตรีของผู้คน แม่น้ำเจ้าพระยา และลำคลองสายหลักต่างๆ อาหารไทย ตลาดสรรพสินค้า การแพทย์และสุขภาพแผนไทย ที่สำคัญที่สุด คือความคุ้มค่าของเงินที่นักท่องเที่ยวต้องจับจ่ายใช้สอยในกรุงเทพมหานคร ซึ่งก็สอดคล้องกับเกณฑ์ที่เขาตั้งในการให้คะแนน

เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะการท่องเที่ยวเป็นกิจการที่ประเทศไทยต้องถือว่าเป็นกิจการที่ได้รับความสำเร็จมากที่สุด ตั้งแต่เราได้เริ่มพัฒนาเศรษฐกิจของเรา ตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ฉบับที่ 1 เป็นกิจการที่ถูกกับนิสัยคนไทยมากที่สุด เพราะคนไทยชอบความสนุกสนานเฮฮา โอบอ้อมอารีต่อแขกเหรื่อ ไม่ต่อต้านคนต่างชาติ ใครเข้ามาก็ต้อนรับ เมืองไทยจึงมีคนหลายเชื้อชาติผสมผเสปนเปกัน จึงไม่น่าแปลกใจที่กรุงเทพฯและเชียงใหม่ ได้รับความนิยมอันดับต้นๆ ของโลกและของทวีปเอเชีย ในฐานะเมืองที่น่าเที่ยวและน่าไปมากที่สุด

เราคนไทยที่อยู่ที่กรุงเทพฯ หรือเชียงใหม่ คงไม่รู้สึกอะไร แต่คนไทยกลับนิยมไปเที่ยวญี่ปุ่นหรือปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ ลอนดอน ปารีส หรืออะไรเทือกนั้น เป็นจำนวนมาก แล้วก็ไม่ค่อยทราบว่าชาวโลกเขาชอบเมืองไทย โดยเฉพาะกรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต สมุย ว่าเป็นเมืองที่น่าท่องเที่ยวน่าสนใจอย่างไร

มีอยู่ 3 เรื่องที่น่าห่วงในอนาคต ที่เราคงจะต้องเอาใจใส่ดูแล เพื่อให้บ้านเมืองของเรายังคงครองความเป็นเลิศในชาวนักท่องเที่ยวของโลก

เรื่องแรก ที่คิดว่ายังไม่ผ่านคือ ความสะอาดสอ้านของแม่น้ำเจ้าพระยา คลอง คู ทางระบายน้ำ ถ้าเทียบกับแม่น้ำอื่นๆ ของเมืองท่องเที่ยวของโลกแล้วยังห่างไกลกันมาก ของเรายังสกปรก มีขยะมูลฝอย ส่งกลิ่นรบกวนอย่างไม่น่าเชื่อ ยิ่ง คู คลอง ทางระบายน้ำในกรุงเทพมหานครด้วยแล้ว ต้องถือว่าคะแนนควรจะอยู่ในอันดับท้ายๆ ของนครใหญ่ๆ ของโลก เวลาฝนตกหนักๆ น้ำจากท้องร่องที่ใช้เป็นที่ระบายน้ำ จะเอ่อขึ้นมาจนถึงทางเท้า เป็นที่น่ารังเกียจ

คลองบางซื่อ ที่อยู่ใกล้ๆ บ้าน เมื่อเกิดมหาอุทกภัยเมื่อปลายปี 2554 เต็มไปด้วยขยะมูลฝอย ทหารที่ไปช่วยระบายน้ำพบที่นอน 6 หลังจมอยู่ในคลอง ทำให้การระบายน้ำเป็นไปอย่างทุลักทุเล

เคยไปประเทศจีน ที่เมืองกว่างโจว เมื่อ 20 ปีก่อน แม่น้ำไข่มุกหรือจูเจียง ก็มีลักษณะเน่าเหม็น เหมือนคลองแสนแสบ หรือแม่น้ำเจ้าพระยา แต่เดี๋ยวนี้น้ำใสสะอาดมองไม่ออกว่าเมื่อก่อนเป็นอย่างไร

คงอีกนานที่ระบบระบายน้ำเสียในกรุงเทพ มหานคร ทั้งฝั่งพระนครและฝั่งธนบุรี จะสามารถพัฒนาให้สะอาดสอ้านถูกสุขอนามัยได้ ตราบใดที่บ้านเรายังใช้ระบบส้วมซึมอยู่ ครั้นจะเปลี่ยนเป็นระบบท่อระบบอุโมงค์ก็คงจะทำได้ยากเพราะเราไม่มีผังเมือง ถ้าจะทำก็คงโกลาหลและมีราคาแพง

เรื่องที่สอง
 คือเรื่องมลพิษทางอากาศ ปัญหามลพิษทางอากาศมีความสาหัสพอๆ กับเรื่องน้ำ เคยได้ยินว่าเมื่อ 20 ปีก่อน ปริมาณตะกั่วในอากาศในกรุงเทพฯมีสูงกว่า 4 เท่าของระดับมาตรฐาน จนต้องประกาศเลิกใช้น้ำมัน ออกเทนสูงซึ่งมีตะกั่วเป็นส่วนผสม แต่มลพิษทางอากาศที่เกิดจากไอเสียรถยนต์ก็ยังเป็นปัญหาสำคัญอยู่ เพราะการใช้รถยนต์ต่อคนต่อระยะทางของประชากรในกรุงเทพฯมีสูง เพราะการขาดแคลนระบบขนส่งมวลชนในกรุงเทพฯ

ปัญหาใหม่ที่กรุงเทพมหานครประกาศก็คือ ฝุ่น มีระดับสูงกว่ามาตรฐาน รวมทั้งได้ประกาศพื้นที่ในกรุงเทพมหานครที่มีความเสี่ยงจากมลพิษจากฝุ่น ในจำนวน 33 เขตของกรุงเทพฯ มีอยู่ 18 เขตที่ปริมาณฝุ่นมีระดับสูงกว่าระดับอันตราย ได้แก่ ดุสิต จตุจักร ปทุมวัน ราชเทวี สาทร ตลิ่งชัน บางกะปิ บางเขน ดอนเมือง ห้วยขวาง ยานนาวา บางรัก พญาไท ลาดกระบัง ธนบุรี ทวีวัฒนา และบางนา เป็นต้น

นอกจากปัญหาเรื่องน้ำ เรื่องอากาศ ปัญหาเรื่องเสียงก็เป็นปัญหาสำคัญ สำหรับคนกรุงเทพฯ ซึ่งมีระดับสูงกว่ามาตรฐานที่ปลอดภัย

พื้นที่สีเขียวของกรุงเทพฯ สำหรับประชากรหนาแน่นกลับมีน้อยกว่ามาตรฐานเป็นอันมาก สวนสาธารณะซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเมืองใหญ่ กรุงเทพฯก็มีพื้นที่ที่กันไว้เป็นสวนสาธารณะน้อยที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง

สำหรับอาหารการกินก็เป็นที่ยอมรับ อาหารไทยที่กรุงเทพฯนั้นเป็นอาหารไทยที่เป็นไทยแท้กว่าที่อื่นทั่วโลก นอกจากนั้น ร้านอาหารนานาชาติ ไม่ว่าจะเป็นอาหารจีน ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส อิตาเลียน อินเดีย ตะวันออกกลาง และอื่นๆ ร้านอาหารที่เปิดที่กรุงเทพฯก็ไม่แพ้ที่ใดในโลก มีร้านอาหารเปิดบริการ 24 ชั่วโมง กรุงเทพฯเป็นเมืองที่ไม่รู้จักหลับ นักท่องเที่ยวหาความสุขได้ตลอดวันตลอดคืน

แต่คะแนนที่ให้กับอัธยาศัยไมตรี ความโอบอ้อมอารี ตามนโยบายกรุงเทพฯเมืองยิ้มหรือ "Bangkok Smile Policy" นั้นยังสงสัย การที่นักท่องเที่ยวให้คะแนนในหมวดนี้ อาจจะเป็นไปได้ที่คนกรุงเทพฯที่นักท่องเที่ยวพบเห็นและสัมผัสด้วย คงเป็นผู้คนที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการ ตั้งแต่สนามบิน ไปจนถึงโรงแรมและแหล่งท่องเที่ยว พนักงานห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร รวมทั้งผู้คนทั่วไปตามถนนหนทาง

แต่ถ้าติดตามข่าวกระแสการเมือง การพูดจาในการชุมนุมทางการเมืองก็ดี ในสภาผู้แทนราษฎรก็ดี หรือในโทรทัศน์ช่องพิเศษหลายๆ ช่อง ภาพที่สังคมไทยเป็นสังคมที่มีอัธยาศัยไมตรี เมตตา กรุณา สุภาพ รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่จะหายไปทันที

ความก้าวร้าว กักขฬะ ผรุสวาท หยาบคาย พูดเท็จ ละเมิดผู้คนที่ตัวไม่ชอบหรือเป็นฝ่ายตรงกันข้ามกลายเป็นเรื่องปกติ จนอาจจะกลายเป็นวัฒนธรรมของสื่อมวลชนและนักการเมืองไปเสียแล้ว สิ่งเหล่านี้นักท่องเที่ยวที่ไม่รู้ภาษาไทยอาจจะเข้าไม่ถึง หรืออาจจะนึกไม่ถึงเลยก็ได้ ก็หวังว่าเมื่อถึงจุดหนึ่งแล้วจะค่อยๆ หายไป มิฉะนั้นกรุงเทพฯจะเป็นเมืองที่ไม่น่าอยู่ที่สุด

หวังว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น

Resource from:

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น